วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

การพัฒนาอาชีพ

การพัฒนาอาชีพหลักของสังคมไทยอย่างยั่งยืนด้วยวิถีไทย

ส่วนนำ
                “ความมั่นคงของชาติจะมีได้ก็เพราะประชาชนอยู่ร่วมกันโดยเรียบร้อยและสามารถประกอบอาชีพ  เลี้ยงตนได้โดยปรกติสุข ไม่ต้องต่อสู้ผจญหรือหวาดระแวงภัยอันตรายที่คอยคุกคามเบียดเบียน”
                                                                          (พระราชดำรัสในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ)
                ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงในสายตาของชาวโลก มีผืนแผ่นดินสำหรับการเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ทำการประมงได้อย่างต่อเนื่องทั่วทุกภาคของประเทศ อย่างที่เรียกได้ว่าเป็นดินแดนทองที่มีทรัพย์ในดินสิน     ในน้ำอุดมสมบูรณ์  ชาวต่างชาติได้รับผลประโยชน์จากแผ่นดินไทยในฐานะเป็นครัวของโลก  หากพิจารณา   ในระบบสังคมไทย แม้คนไทยจะประกอบด้วยคนหลายเชื้อชาติหลายศาสนาที่ย่อมมีความแตกต่างกันไปตามค่านิยม ความเชื่อ ขนบประเพณีตามเผ่าพันธุ์ของตนไปบ้าง คนไทยเหล่านั้นต่างประกอบอาชีพอยู่ร่วมกันโดยสันติสุข ทั้งนี้เกิดจากการที่คนในสังคมไทยมีสิ่งยึดเหนี่ยวร่วมกัน ประกอบอาชีพตามความรู้ ความสามารถ ความรับผิดชอบของตน เพื่อให้ประเทศชาติบ้านเมืองประสบความสุข ความเจริญ และเมื่อนั้น คนในชาติก็จะได้รับความสุข ความเจริญรุ่งเรืองเกี่ยวเนื่องกันไปด้วย
                การพัฒนาอาชีพอย่างยั่งยืนในสังคมไทยเป็นความท้าทายที่เกิดขึ้น ผลสำเร็จจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเยาวชนไทยได้รับโอกาสทางการศึกษา  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่นิสิตและนักศึกษาวิทยาลัยวิชาการศึกษา พ.ศ. ๒๕๐๕ ความตอนหนึ่งว่า
                “...การศึกษาเป็นเรื่องใหญ่และสำคัญยิ่งของมนุษย์ คนเราเมื่อเกิดมาก็ได้รับการสั่งสอนจากบิดามารดา อันเป็นความรู้เบื้องต้น เมื่อเจริญเติบโตขึ้นก็เป็นหน้าที่ของครูและอาจารย์สั่งสอนให้ได้รับวิชาความรู้สูง และอบรมจิตใจให้ถึงพร้อมด้วยคุณธรรม เพื่อจะได้เป็นพลเมืองดีของชาติสืบไป...”
                เพื่อพัฒนาเยาวชนไทยให้มีคุณภาพและมาตรฐาน สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่มีหน้าที่หลักในการพัฒนาเยาวชนไทยระดับมัธยมศึกษา ได้กำหนดมาตรฐานด้านคุณภาพผู้เรียนไว้ในมาตรฐานที่ ๖ ที่ระบุว่า  “ผู้เรียนมีทักษะในการทำงาน รักการทำงาน สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้และมีเจตคติที่ดีต่ออาชีพสุจริต”  จะเห็นได้ว่าความมุ่งหวังระดับประเทศที่จะสร้างพลเมืองดีของชาติในข้อหนึ่งนั้นคือต้องการให้เยาวชนไทยมีทักษะความสามารถในการทำงานและการประกอบอาชีพ ซึ่งเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของคนในชาติ
                กล่าวโดยสรุปได้ว่า  ความมั่นคงของประเทศชาติและสังคมไทยส่วนหนึ่งควรได้รับจากการพัฒนาเยาวชนไทยให้มีความรู้ความสามารถและมีคุณธรรมที่ดีงาม เพื่อสร้างพลเมืองที่ดีให้แก่ประเทศชาติ เป็นทรัพยากรบุคคลที่มีค่าของประเทศ ที่มีพลังในการประกอบอาชีพที่ยั่งยืน และร่วมใจกันสร้างประเทศไทยให้เจริญรุ่งเรืองได้ต่อไป
                วิธีการหนึ่งคือการพัฒนาเยาวชนไทยให้สามารถประกอบอาชีพอย่างยั่งยืนในสังคมไทยด้วยวิถีไทย    จึงจะนับได้ความร่วมแรงร่วมใจของทุกฝ่ายเป็นการตอบแทนคุณของแผ่นดิน ดังพระราชดำรัสในสมเด็จ-    พระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ (๒๕๓๖ ๗) ความตอนหนึ่งที่ว่า
                “...แผ่นดินนี้มีคุณ  มีบุญคุณแก่ชีวิตของพวกเรามากมายนัก เพราะฉะนั้นชีวิตที่เกิดมานี้อย่าได้ว่างเปล่า จงตอบแทนให้รู้สึกตัวเสมอว่าเป็นหนี้บุญคุณ...”
                ในการศึกษาเรื่อง “วิถีไทย : การพัฒนาอาชีพอย่างยั่งยืนในสังคมไทย”  มีจุดประสงค์สำคัญ ดังนี้
                ๑.  เพื่อศึกษาความหมาย ความสำคัญของอาชีพ
                ๒.  เพื่อศึกษาสภาพการประกอบอาชีพของสังคมไทยในสมัยก่อนจนถึงปัจจุบัน
                ๓.  เพื่อศึกษาอาชีพหลักของสังคมไทย
                ๔.  เพื่อศึกษาแนวทางการพัฒนาอาชีพหลักของสังคมไทยอย่างยั่งยืนด้วยวิถีไทย
                หัวข้อที่ศึกษาประกอบด้วย
                ๑.  ความหมาย ความสำคัญและประเภทของอาชีพ
                                ๑.๑  ความหมายของอาชีพ
                                ๑.๒  ความสำคัญของอาชีพ
                ๒.  สภาพการประกอบอาชีพของสังคมไทยในสมัยก่อนจนถึงปัจจุบัน
                                ๒.๑  ความหมายของคำว่า สังคม
                                ๒.๒  การประกอบอาชีพของคนไทยสมัยสุโขทัย
                                ๒.๓  การประกอบอาชีพของคนไทยสมัยอยุธยา
                                ๒.๔  การประกอบอาชีพของคนไทยสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์                       
                ๓.  อาชีพหลักของสังคมไทย
                                ๓.๑  ประเภทของอาชีพ
                                ๓.๒  การประกอบอาชีพของคนไทยในช่วงสมัยโลกาภิวัตน์
                ๔.  แนวทางการพัฒนาอาชีพหลักของสังคมอย่างยั่งยืนด้วยวิถีไทย
                                ๔.๑  ความหมายของคำว่า วิถีไทย
                                ๔.๒  การพัฒนาอาชีพอย่างยั่งยืนด้วยตามหลักของพระพุทธศาสนา
                                ๔.๓  การพัฒนาอาชีพอย่างยั่งยืนตามหลักปชรัญาของเศรษฐกิจพอเพียง

ส่วนเนื้อเรื่อง
๑.  ความหมาย ความสำคัญ และประเภทของอาชีพ
                ๑.๑  ความหมายของอาชีพ
                พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒  (๒๕๔๖ :  ๑๓๖๒)  ให้ความหมายของคำว่า อาชีพ ไว้ดังนี้
                อาชีพ, อาชีว-, อาชีวะ น. การเลี้ยงชีพ การทำมาหากิน งานที่ทำป็นประจำเพื่อเลี้ยงชีพ (ป., ส.)
                นอกจากนี้ คำที่แสดงความหมายเกี่ยวกับอาชีพยังมีอีกหลายคำ ดังนี้ อาชีพที่จำเป็นต้องอาศัยความรู้ความสามารถเฉพาะด้านเรียกว่า วิชาชีพ เช่น ครู วิศวกร แพทย์ พยาบาล ทนายความ อาชีพที่ถูกกฎหมายและศีลธรรม เรียกว่า สัมมาชีพ เช่น อาชีพค้าขาย  อาชีพรับจ้าง ส่วนบางอาชีพที่ผิดกฎหมาย เรียกว่า มิจฉาชีพ เช่น โจร เป็นต้น
                ๑.๒  ความสำคัญของอาชีพ
             การประกอบอาชีพมีความสำคัญและประโยชน์ทั้งต่อตนเอง  ครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติ  กล่าวตือ อาชีพย่อมเป็นประโยชน์ต่อตนเอง  ทำให้เป็นคนรู้คุณค่าของเงิน ใช้จ่ายเงินอย่างประหยัด วางแผนการใช้จ่ายเงิน การเก็บออมเงินเพื่อความมั่นคงของชีวิต  ใน ด้านครอบครัว การมีอาชีพจะสร้างคุณค่าให้กับตนเองและสมาชิกในครอบครัว เป็นตัวอย่างแก่คนในครอบครัวและบุคคลอื่นๆ นอกจากนี้การมีอาชีพยังเป็นประโยชน์ต่อชุมชน  กล่าวคือ เป็นการสร้างรายได้ให้ชุมชน ทำให้เศรษฐกิจชุมชนดีขึ้น ทำให้ชุมชนเข้มแข็ง พึ่งพาตนเองได้  ซึ่งจะส่งผลให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติ คือ เมื่อประชาชนมีอาชีพ มีรายได้ รัฐสามารถเก็บภาษีจากประชาชนได้ สามารถนำรายได้จากการเก็บภาษีไปพัฒนาประเทศในด้านต่าง ๆ ได้
๒.  สภาพการประกอบอาชีพของสังคมไทยในสมัยก่อนจนถึงปัจจุบัน
                ๒.๑  ความหมายของคำว่า สังคม
                พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒  (๒๕๔๖ :  ๑๑๕๙) ให้ความหมายของคำว่า สังคมไว้ดังนี้
                สังคม น. คนจำนวนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกันตามระเบียบ กฎเกณฑ์ โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญร่วมกัน เช่น สังคมชนบท ; วงการ หรือสมาคมของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง เช่น สังคมชาวบ้าน
                เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า การอยู่รวมกันของกลุ่มคนในสังคมในด้านที่อยู่อาศัย  การตั้งถิ่นฐานร่วมกัน มีความสัมพันธ์ต่อกันในระบบเครือญาติ มีการกำหนดกฎระเบียบของสังคม และแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบตามบทบาทของตน ก่อให้เกิดสังคมต่างๆ ขึ้นโดยทั่วไปสังคมของกลุ่มชนใดจะเป็นเช่นใดขึ้นกับปัจจัยที่เกี่ยวข้องในเรื่องสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ ความเป็นอยู่ของคนในสังคม และการติดต่อสัมพันธ์กันกับกลุ่มชนอื่นๆ
                ๒.๒  การประกอบอาชีพของคนไทยสมัยสุโขทัย
                สังคมไทยสมัยอยุธยาเป็นสังคมที่เรียบง่าย บ้านเมืองมีความอุดมสมบูรณ์ ดำรงชีวิตด้วยการเกษตร ดังปรากฏถ้อยคำในสิลาจารึกพ่อชุนรามคำแหง หลักที่ ๑ ว่า “ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว”  และยังมีการติดต่อค้าขายระหว่างกัน ดังในข้อความที่ว่า “ใครใคร่ค้าช้าง ค้า ใคร ใคร่ค้าม้า ค้า”  หรือ “เพื่อนจูงวัวไปค้า ขี่ม้าไปขาย”  สำหรับสินค้าที่มีชื่อเสียงคือ เครื่องสังคโลก ที่เป็นที่ต้องการของต่างชาติ ปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีว่ามีการค้าขายเครื่องสังคโลกกับจีน อาจกล่าวได้ว่า การประกอบอาชีพของสังคมในสมัยสุโขทัย ประกอบด้วยด้านการเกษตรและการค้าขาย ซึ่งมีขึ้นเพื่อการเลี้ยงชีพ
                ๒.๓  การประกอบอาชีพของคนไทยสมัยอยุธยา
                สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน (๒๕๔๘ : ๑๐๙ – ๑๑๒)  ได้ระบุว่า สังคมสมัยอยุธยาที่ยาวนานกว่า ๔๐๐ ปี เป็นสังคมที่มีสภาพการเมืองและเศรษฐกิจเติบโตเป็นปึกแผ่น แม้จะรับสืบทอดลักษณะทางสังคมมาจากสมัยสุโขทัยมาอยู่บ้างแต่มีบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เห็นได้ชัดคือมีการแบ่งชนชั้นที่เคร่งครัดกว่าสมัยสุโขทัย มีการรับอิทธิพลของชาติอื่นที่ได้เดินทางเข้ามาติดต่อค้าขายกับไทย เช่น จีน ญี่ปุ่น เปอร์เซีย อาหรับ โปรตุเกส และฮอลันดา ซึ่งมีผลทำให้บ้านเมืองมีความเจริญก้าวหน้าหลายด้าน หากจะพิจารณาถึงอาชีพหลักของสังคมไทยสมัยอยุธยาพบว่าอาชีพหลักยังคงเป็นเกษรตรกรรม  ชาวนาซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของชาติได้เลี้ยงชีพด้วยการทำนา แต่ยังคงมีลักษณะทำเพื่อเลี้ยงชีพ ส่วนอาชีพค้าขายนั้น เริ่มมีการค้าระหว่างรัฐและขุนนางกับพ่อค้าชาวต่างชาติรายใหญ่  ที่เห็นได้ชัดดังเช่นในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช คอนสแตนติน ฟอลคอน ชาวกรีก ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทในการติดต่อค้าขายกับต่างชาติ มีผลงานดีเด่น จนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น ออกญาวิไชเยนทร์ เป็นต้น
                ๒.๔  การประกอบอาชีพของคนไทยสมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์
                เมื่อสังคมเปลี่ยนผ่านมาสู่สมัยธนบุรีและรัตนโกสินทร์ เป็นช่วงสมัยของการเปลี่ยนแปลงไปส่ความเจริญอย่างรวดเร็ว แม้ในระยะเริ่มแรกจะเกิดจากศึกสงครามอยู่บ้าง แต่เมื่อประเทศมีการทำสนธิสัญญาทางการค้าอย่างเป็นทางการ จึงเป็นเปิดประตูรับชาวต่างชาติมากขึ้น ส่งผลให้เกิดความเจริญแทบทุกด้าน ในด้านการประกอบอาชีพก็ได้รับอิทธิพลจากการเลิกระบบทาส และการปฏิรูปประเทศในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕  จึงมีการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาประเทศ ให้มีความเจริญรุ่งเรืองทั้งทางด้านการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม และการศึกษา ส่งผลให้เกิดอาชีพอย่างมากมาย ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของอาชีพสังคมไทยในปัจจุบัน สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน (๒๕๔๘ : ๑๑๓ – ๑๑๔)


๓.  อาชีพหลักของสังคมไทย
                ๓.๑  ประเภทของอาชีพ
                เพ็ญศรี  เลิศเกียรติวิทยา และสิฏฐากร  ชูทรัพย์  (๒๕๕๓ : ๑๖๔ – ๑๗๙) ได้กล่าวถึงอาชีพหลักของสังคมไทยโดยแบ่งออกเป็นประเภทต่างๆ ได้ ดังนี้
                        ๓.๑.๑   การแบ่งอาชีพตามเนื้อหาวิชาของอาชีพ สามารถจัดกลุ่มอาชีพตามเนื้อหาวิชาได้เป็น ๖ ประเภท ดังนี้ อาชีพเกษตรกรรม อุตสาหกรรม พาณิชยกรรมและบริการ  คหกรรม  หัตถกรรม และศิลปกรรม  มีรายละเอียด ดังนี้
                                              ๑) อาชีพเกษตรกรรม ถือว่าเป็นอาชีพหลักที่สำคัญของประเทศ ปัจจุบันคนไทย ไม่น้อยกว่าร้อยละ ๖๐ ยังประกอบอาชีพนี้อยู่ อาชีพเกษตรกรรมต้องใช้พื้นที่ในการประกอบอาชีพเป็นจำนวนมาก  ได้แก่ การทำนา ทำไร่ ทำสวน และ เลี้ยงสัตว์ เป็นต้น
                          ๒)  อาชีพอุตสาหกรรม การทำอุตสาหกรรม หมายถึง การผลิตสินค้าอันเนื่องมาจาก
การนำเอาวัสดุ หรือสินค้าบางชนิดมาแปรสภาพให้เกิดประโยชน์ต่อผู้ใช้มากขึ้น การประกอบอาชีพอุตสาหกรรมแบ่งตามขนาด ได้  ๔  ประเภท ดังนี้
                                            (๑) อุตสาหกรรมในครอบครัว เป็นอุตสาหกรรมที่ทำกันภายในบ้าน ใช้แรงงานคนในครอบครัวเป็นหลัก อาจใช้เครื่องจักรขนาดเล็กช่วยในการผลิต ใช้วัตถุดิบที่หาได้ในท้องถิ่น มีลักษณะการดำเนินงานไม่เป็นระบบมากนัก ใช้เทคโนโลยีแบบง่าย ๆ และมีการลงทุนไม่มากนัก ตัวอย่างอุตสาหกรรมในครอบครัว ได้แก่ การทอผ้า การทำเครื่องจักสาน การทำธูป  การทำดินสอพอง   เป็นต้น
                                            (๒)  อุตสาหกรรมขนาดย่อม เป็นอุตสาหกรรมที่มีการจ้างคนงานมากกว่า ๕๐ คน
ใช้เงินทุนดำเนินการไม่เกิน ๑๐ ล้านบาท มีกระบวนการผลิตที่ไม่ซับซ้อน ใช้แรงงานที่มีฝีมือไม่มากนัก ตัวอย่างอุตสาหกรรมขนาดย่อม ได้แก่  โรงกลึง อู่ซ่อมรถ โรงงานทำขนมปัง โรงสีข้าว เป็นต้น
                                           (๓)  อุตสาหกรรมขนาดกลาง เป็นอุตสาหกรรมที่มีการจ้างคนงานมากกว่า ๕๐ คน
แต่ไม่เกิน ๒๐๐ คน ใช้เงินทุนดำเนินการมากกว่า ๑๐ ล้านบาท แต่ไม่เกิน ๑๐๐ ล้านบาท มีการจัดการที่ดี แรงงานที่ใช้ต้องมีทักษะ ความรู้ ความสามารถในกระบวนการผลิตเป็นอย่างดี เพื่อผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ
ตัวอย่างอุตสาหกรรมขนาดกลาง ได้แก่ อุตสาหกรรมแปรรูปสมุนไพร  อุตสาหกรรมเสื้อผ้าสำเร็จรูป เป็นต้น
                                            (๔)  อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ เป็นอุตสาหกรรมที่มีคนงานมากกว่า ๒๐๐ คนขึ้นไป เงินทุน ในการดำเนินการมากกว่า ๒๐๐ ล้านบาท มีระบบการจัดการที่ดี ใช้คนที่มีความรู้ ทักษะ ความสามารถเฉพาะด้านหลายสาขา  ใช้เครื่องจักร คนงาน เงินทุน จำนวนมากขึ้น การผลิตมีกระบวนการที่ทันสมัยและผลิตสินค้าได้ทีละมาก ๆ มีการว่าจ้างบุคคลระดับผู้บริหารที่มีความสามารถ ตัวอย่างอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ ได้แก่ อุตสาหกรรมผลิตแบตเตอรี่ อุตสาหกรรมถลุงเหล็ก เป็นต้น
                    ๓) อาชีพพาณิชยกรรมและอาชีพบริการ อาชีพพาณิชยกรรมเป็นการประกอบอาชีพที่เป็นการแลกเปลี่ยนระหว่างสินค้ากับเงิน ผู้ประกอบอาชีพทางพาณิชยกรรมจึงจัดเป็นคนกลาง ซึ่งทำหน้าที่ซื้อสินค้าจากผู้ผลิตและนำมาขายต่อให้แก่ผู้บริโภค ประกอบด้วยการค้าส่งและการค้าปลีก โดยอาจจัดจำหน่าย ในรูปของการขายตรงหรือขายอ้อม  อาชีพบริการ หมายถึง อาชีพที่ทำให้เกิดความพอใจแก่ผู้ซื้อ ได้แก่ บริการขนส่ง บริการทางการเงิน บริการท่องเที่ยว บริการรักษาพยาบาล เป็นต้น ในการประกอบอาชีพพาณิชยกรรม หรือบริการ ผู้ประกอบอาชีพจะต้องมีความสามารถในการจัดหา มีความคิดริเริ่ม และมีคุณธรรม จึงจะทำให้การประกอบอาชีพเจริญก้าวหน้า
                    ๔) อาชีพคหกรรม การประกอบอาชีพคหกรรม ได้แก่ อาชีพที่เกี่ยวกับการประกอบ
อาหาร ขนม การตัดเย็บเสื้อผ้า การเสริมสวย การประดิษฐ์ของชำร่วย เป็นต้น
                   ๕) อาชีพศิลปหัตถกรรมงานฝีมือและสิ่งประดิษฐ์
     (๑)  อาชีพหัตถกรรม ได้แก่ อาชีพที่เกี่ยวกับงานช่าง โดยการใช้มือในการผลิตชิ้นงานเป็นส่วนใหญ่ ได้แก่ อาชีพจักสาน แกะสลัก ทอผ้าด้วยมือ ทอเสื่อ เป็นต้น
                                  (๒)  อาชีพศิลปกรรม การประกอบอาชีพศิลปกรรม ได้แก่ อาชีพเกี่ยวข้องกับการแสดงออกในลักษณะต่าง ๆ เช่น การวาดภาพ การปั้น การดนตรี การแสดง การโฆษณาประชาสัมพันธ์ การถ่ายภาพ เป็นต้น
                        ๖) อาชีพการประมง เป็นกิจกรรมต่างๆที่ใช้ประโยชน์จากสัตว์น้ำ เริ่มตั้งแต่การจับปลา การแปลรูป การเพาะเลี้ยง และการจำหน่ายหรือบริโภค ในแหล่งน้ำนั้น มีทั้งการจับและการเพาะเลี้ยงปลาเพื่อใช้เป็นอาหารเป็นส่วนใหญ่ และมีการรวบรวมหรือเพาะผลิตเป็นปลาตู้สวยงามในบางชนิด วิธีการประมงนั้นมี ๒ วิธี คือ การจับ และการเพาะเลี้ยง
                ๓.๑.๒ การแบ่งอาชีพตามลักษณะของการประกอบอาชีพ
                     การแบ่งอาชีพตามลักษณะการประกอบอาชีพ เป็น ๒ ลักษณะ คือ อาชีพอิสระ และ อาชีพรับจ้าง
                           ๑)  อาชีพอิสระ หมายถึง อาชีพที่ผู้ประกอบการดำเนินการด้วยตนเองหรือเป็นกลุ่ม โดยไม่ต้อง ใช้คนจำนวนมาก อาจมีการจ้างคนอื่นมาช่วยงานได้  เจ้าของกิจการเป็นผู้ลงทุน  คิด และตัดสินใจด้วยตนเอง ตัวอย่างการประกอบอาชีพอิสระ เช่น พ่อค้า  ช่างซ่อมรถจักรยานยนต์ ช่างเสริมสวย ช่างซ่อมคอมพิวเตอร์   เป็นต้น
                           ๒)  อาชีพรับจ้าง หมายถึง อาชีพที่มีผู้อื่นเป็นเจ้าของกิจการ โดยตัวเองเป็นผู้รับจ้างทำงานให้ อาชีพรับจ้างประกอบด้วย "นายจ้าง" หรือ “ผู้ว่าจ้าง”  และ "ลูกจ้าง" หรือ “ผู้รับจ้าง” โดยมี "ค่าจ้าง"หรือ “เงินเดือน”เป็นค่าตอบแทน  เช่น  พนักงานบริษัท  พนักงานบริการ เป็นต้น
               

                ๓.๒ อาชีพหลักของคนไทยในช่วงสมัยโลกาภิวัตน์   ในช่วงสมัยโลกาภิวัตน์ที่ทุกคนทั่วโลกสามารถติดต่อกันได้อย่างรวดเร็วและสะดวกโดยผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทำให้ทั่วโลกสามารถรับรู้เรื่องราวต่างๆ ได้อย่างไร้พรมแดน การแลกเปลี่ยนทางการศึกษา ประเพณีและวัฒนธรรมเกิดขึ้นได้กับทุกบุคคลทุกสถานที่และทุกเวลา ส่งผลให้เกิดการอาศัยเทคโนโลยีอย่างมาก อาชีพหลักของคนในปัจจุบันจึงต้องอาศัยความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีและการใช้ภาษาอังกฤษเป็นเครื่องมือติดต่อสื่อสารกันอย่างเห็นได้ชัดเจน มีการขยายตัวอาชีพออกไปอย่างกว้างขวางโดยไม่ทิ้งอาชีพหลักด้านการเกษตรที่ยังคงสืบทอดต่อมาอย่างยาวนาน การปลูกข้าวกันจะปลูกันทั้งประเทศ และปลูกกันมากในภาคกลาง ซึ่งจนถึงกับบางครั้งมีคำกล่าวที่เรียกภาคกลางของประเทศไทย ว่า "อู่ข้าวอู่น้ำ" ของเอเซียแม้กระนั้นก็ตามจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนแนวคิดจากการเกษตรเพื่อเลี้ยงชีพป็นการเกษตรภาคอุตสาหกรรม โดยอาศัยความรู้และทักษะทั้งด้านการเกษตรและอุตสาหกรรมมาบูรณาการกันอย่างมีประสิทธิภาพ  สังคมไทยจึงเป็นสังคมสำคัญของโลกในฐานะที่เป็นผู้ผลิตสินค้าด้านการเกษตร ที่เรียกว่าเป็น ครัวของโลก  สินค้าที่เป็นที่ต้องการแม้จะมีหลายประเภท แต่ ข้าวหอมมะลิ ก็ยังเป็นสินค้าอันดับต้นๆในความต้องการของตลาดโลก อีกทั้งการดำเนินงานธุรกิจการเกษตรภาคอุตสาหกรรมมีความเจริญเติบโตในต่างประเทศ และประสบความสำเร็จสามารถนำเงินรายได้เข้าประเทศได้อย่างมา
๔.  แนวทางการพัฒนาอาชีพหลักของสังคมอย่างยั่งยืนด้วยวิถีไทย
                ๔.๑  ความหมายของคำว่า วิถีไทย
                คำว่าวิถีไทย  มาจากคำศัพท์ วิถี ประกอบกับคำว่าไทย คำศัพท์ วิถี แปลว่า สาย แนว ถนน หรือทาง วิถีไทย จึงมีความหมายถึง แนวทางความเป็นไทย สื่อนัยถึง การดำรงชีวิตของผู้คนในสังคมไทยตลอดจนถึงการพัฒนาประเทศบนพื้นฐานของวัฒนธรรมไทย ที่ปรับเปลี่ยนได้อย่างเหมาะสมกับสภาพการณ์ความเปลี่ยนแปลงในแต่ละช่วงสมัย (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๔๗ : ๒๓๘)
                วิวัฒน์ชัย  อัตถากร (อ้างถึงในมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๔๗ : ๒๕๔)  ได้กล่าวถึงแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนในส่วนที่เกี่ยวกับการประกอบอาชีพของคนในสังคมไทย ดังนี้
                                ๑)  การดำเนินการพัฒนาต้องให้ความสำคัญแก่ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ให้ คน ชุมชน และสิ่งแวดล้อม อยู่ร่วมกันอย่างสมดุลและเอื้อต่อกัน
                                ๒)  อุตสาหกรรมสมัยใหม่ควรมีพื้นฐานความรู้ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่มั่นคง ที่ประยุกต์พัฒนาจากภูมิปัญญาของเรา
                                ๓)  การไม่ละทิ้งภาคเกษตรกรรมซึ่งเป็นฐานหลักของคนส่วนใหญ่ในสังคมไทย และทำให้เราได้เปรียบประเทศอื่นมากที่มีภาคผลิตอาหารเลี้ยงผู้คนในสังคมได้ อีกทั้งยังเป็นจุดแข็งของเศรษฐกิจไทยด้วย
               
                ๔.๓  การพัฒนาอาชีพอย่างยั่งยืนตามหลักพระพุทธศาสนา
                พระพุทธศาสนาเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจให้เป็นผู้มีความประพฤติทั้งกาย วาจาใจ ในพระไตรปิฎกได้กล่าวถึงคุณธรรมที่พึงปฏิบัติเพื่อการพัฒนาอาชีพหลักของคนไทยให้ยั่งยืนไว้หลายประการ ในที่นี้ขอยกตัวอย่างคุณธรรมโดยสรุป ดังนี้
                                ๑)  ธรรมที่เป็นอริยทรัพย์  หมายถึง ทรัพย์ในคนเรา ๗ ประการ  ประกอบด้วย  ศรัทธา ความเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ   ศีล การรักษากาย วาจา ใจ ให้เรียบร้อย หิริ ความละอายใจ โอตตัปปะ ความกลัวบาป พาหุสัจจะ การได้ยินและได้ฟังมาก จาคะ การเสียสละ และปัญญา ความรอบรู้
                                ๒) ธรรมที่นำไปสู่ความสำเร็จ  ได้แก่ อิทธิบาท ๔  ประกอบด้วย ฉันทะ ความพอใจ รักใคร่   ในสิ่งนั้น วิริยะ ความพยายาม จิตตะ ความเอาใจใส่ ฝักใฝ่ในสิ่งนั้น และ วิมังสา การพิจารณาใคร่ครวญหาเหตุผลในสิ่งนั้น
                                ๓)  ธรรมที่จำเป็นแก่หมู่คณะ  ได้แก่ ความสามัคคี  ซึ่งหมายถึง ความมีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน  สามัคคีเป็นพลังในการประกอบกิจการน้อยใหญ่ทั้งปวง  ดังพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว     ที่ได้พระราชทานแก่สามัคคีสมาคม พ.ศ. ๒๕๒๕  ความตอนหนึ่งว่า
                                “ความสามัคคีพร้อมเพรียงกันเป็นพื้นฐานที่สำคัญในการปฏิบัติบริหารงานใหญ่ ๆ เช่น งานของแผ่นดิน และความสามัคคีนี้จะเกิดขึ้นมีมั่นคงได้ ก็ด้วยบุคคลในหมู่คณะ มีคุณธรรมเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวผูกพันจิตใจของกันและกันไว้”  
                พระธรรมปิฎก (อ้างถึงในเพ็ญศรี  เลิศเกียรติวิทยา และสิฏฐากูร  ชูทรัพย์, ๒๕๕๓ : ๙)  ได้กล่าวไว้ถึงการพัฒนาตนเองซึ่งหมายถึงการพัฒนาอาชีพว่ามี ๔ ด้าน  ดังนี้
                               ๑)  การพัฒนาทางกาย  ด้วยการรักษาร่างกายแข็งแรง มีสุขภาพดี  จะทำให่สามารถปฏิบัติงานได้อย่างดี และทำให้ตนมีความสุขอยู่ได้ตามสมควร
                                ๒)  การพัฒนาศีล  ด้วยการปฏิบัติตามศีล ๕ หรือมากกว่านั้น จะช่วยให้ปฏิบัติตนที่มีคุณต่อคนอื่น และต่อสังคม ไม่เบียดเบียนผู้อื่น และปฏบัติหรือประกอบอาชีพที่สุจริต  อีกทั้งยังช่วยให้มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทำให้สามารถอยู่ร่วมผู้อื่นได้
                                ๓)  การพัฒนาจิต  เพื่อเป็นผู้สุขภาพจิตที่ดี ขจะทำให้สามารถประกอบอาชีพได้อย่างมีประสิทธิภาพ รู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเอง มีความยินดีในการทำงาน มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และรู้จักเห็นใจผู้อื่น ไม่มองโลกในแง่ร้าย
                                ๔)  การพัฒนาทางสติปัญญา คือ รู้จักใช้ความสามารถของตนเองให้เกิดคุณค่า รู้จักการพิจารณาไตร่ตรองสิ่งต่าง ๆด้วยเหตุผล ยอมรับความจรง และพยามหาทางที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นด้วยความสุขุมรอบคอบ
                จะเห็นว่าคุณธรรมเป็นคุณธรรมเป็นเครื่องกำหนดให้คนมีความประพฤติที่ดีงาม และยังสร้างคนให้ปฏิบัติตนถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ด้วยเหตุนี้ผู้ที่ประกอบอาชีพใดก็ตามจึงควรมีการพัฒนาอาชีพอย่างยั่งยืนโดยยึดคุณธรรมตามหลักของพระพุทธศาสนา ซึ่งจะก่อให้เกิดความสุข ความเจริญก้าวหน้าในชีวิต และความมั่นคงของชาติได้อย่างแน่นอน
                ๔.๔  การพัฒนาอาชีพอย่างยั่งยืนตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง
                แนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงเป็นปรัชญาการพัฒนาที่ใช้ได้ตั้งแต่ระดับบุคคล  กลุ่มบุคคล จนถึงระดับประเทศ เป็นการดำเนินงานที่ยึดหลักทางสายกลาง ที่อาศัยเงื่อนไขด้านความรู้ และคุณธรรม  เพื่อนำให้เกิดความพอประมาณ ความมีเหตุผล และการมีภูมิคุ้มที่ดีในชีวิต
                ประเวศ  วะสี  (มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๔๗ : ๒๕๐)ได้ ได้วิเคราะห์ว่า ความพอเพียง นั้นควรมีอย่างน้อย ๗ ประการ ดังนี้
                                ๑)  การพอเพียงสำหรับทุกคน ทุกครอบครัว ไม่ใช่เศรษบกิจแบบทอดทิ้งกัน
                                ๒)  จิตใจพอเพียง ทำให้รักและเอื้ออาทรคนอื่นได้
                                ๓) สิ่งแวดล้อมพอเพียง เช่น การทำเกษตรแบบผสมผสาน ซึ่งได้ทั้งอาหาร ได้ทั้งสิ่งแวดล้อม และได้ทั้งเงิน
                                ๔)  ชุมชมแข็งพอเพียง เพื่อร่วมกันคิดและหาทางแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้หมดสิ้นไป
                                ๕)  ปัญญาพอเพียง  มีการเรียนรู้ร่วมกันในการปฏิบัติ และปรับตัวได้อย่างต่อเนื่อง
                                ๖)  การอยู่บนพื้นฐานวัฒนธรรมพอเพียง  ประกอบด้วยสิ่งแวดล้อมและวัฒนธรรมของท้องถิ่นที่เอื้อต่อการประกอบอาชีพอย่างเหมาะสมในท้องถิ่นนั้นๆ
                                ๗)  การมีความมั่นคงพอเพียง  คือ การมีฐานะและรายได้ที่คงเส้นคงวา ไม่รวยหรือจนอย่างกะทันหัน ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดปัญหาทางด้านจิตใจ ความวิตกกังวล และความทุกข์ตามมาได้
                ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าคนในสังคมจะประกอบอาชีพก็ตาม หากน้อมนำการพัฒนอาชีพหลักของตนตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวให้ตนมีความพอใจในสิ่งที่ตนทำ รู้จักความพอประมาณ และพึ่งพาตนเองได้  มีความสามารถปรับตัวให้สอดคล้องกับสภาพการณ์ความเปลี่ยนแปลงจากภายนอก  เป็นการพัฒนางานอาชีพของตนบนวิถีไทย  ผลที่ได้รับจะก่อให้กิดความสุขอย่างยั่งยืน ดังตัวอย่างบุคคลที่ได้ประกอบอาชีพตามแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงที่มีให้พบเห็นทั่วทุกภาคของประเทศ ในทุกอาชีพ 




ส่วนสรุป                              
                การประกอบอาชีพนับว่าเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่งในชีวิตมนุษย์ อาจกล่าวได้ว่า "งานคือชีวิต”  หากจะพิจารณาถึงการประกอบอาชีพของคนในสังคมจะเห็นได้ว่าเกิดจากความต้องการความอยู่รอด ก่อให้เกิดความต้องการขั้นปัจจัยพื้นฐานด้านอาหาร ที่อยู่อาศัย เครื่องนุ่งห่ม และยารักษาโรค แต่เดิมความต้องการเหล่านี้เกิดขึ้นเฉพาะตน หรือกลุ่มของตน ทำให้เกิดอาชีพไม่มาก แต่เมื่อมีการติดต่อกันมากขึ้น ทำให้เกิดการติดต่อค้าขาย ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการแลกเปลี่ยนความรู้ วัฒนธรรมมากขึ้น อาชีพจึงเกิดมีขึ้นมากมายจนนับไม่ถ้วน
                ในปัจจุบัน แม้สังคมไทยได้มีพัฒนาประเทศให้มีความเจริญก้าวหน้ามาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ทำให้เกิดความนิยมชาติตะวันตก และประเทศได้รับการพัฒนาโดยมีแผนพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศเป็นแม่แบบในการขับเคลื่อนประเทศ ผลที่ได้รับมีผลด้านบวกและลบต่อสังคมไทย คือ ด้านบวก สังคมไทยมีความเจริญก้าวหน้าในด้านวัตถุ ได้รับวิทยาการเทคโนโลยีสมัยใหม่ ชีวิตความเป็นอยู่มีความสะดวกสบาย ผู้คนมีทางเลือกในการประกอบอาชีพตามความต้องการ และความถนัดของตน
                แต่ในอีกด้านหนึ่งนั้น สังคมไทยกลับเป็นสังคมที่มีปัญหาด้านสังคม ศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมมากมายหลายประการ ดังเป็นที่ทราบกันดีอยู่ทั่วกัน
                ในส่วนของการประกอบอาชีพนั้นผลร้ายแรงที่เกิดขึ้นคือ การกระจายรายได้ที่ไม่เป็นธรรม ผู้ที่มีฐานะร่ำรวยได้รับโอกาสสร้างความร่ำรวยได้มากยิ่งขึ้น ส่วนผู้มีฐานะยากจนขาดโอกาสทางการศึกษาจะไม่สามารถสร้างฐานะจากความยากจนไปสู่ฐานะร่ำรวยได้ ปัญหาที่เกิดขึ้นเรื้อรังมานานเช่นนี้ ก่อให้เกิดแนวคิดในการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน  ซึ่งเป็นการพัฒนาที่เน้นความสมดุลระหว่างคนกับสิ่งแวดล้อม และการมีสังคมที่เกื้อกูลสมานฉันท์  ซึ่งสามารถนำมาปรับใช้ได้ในทุกเรื่อง นั่นคือ การพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วยวิถีไทย อันประกอบด้วย การพัฒนาตามหลักของพระพุทธศาสนา และการน้อมนำแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในการพัฒนาให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด
                ด้วยเหตุนี้ การแก้ไขปัญหาของสังคม เพื่อให้คนสามารถประกอบอาชีพได้อย่างยั่งยืนมั่นคง มีชีวิตที่มีความสุขและมีความเป็นอยู่ที่ดีนั้น การนำแนวคิดการพัฒนาอาชีพอย่างยั่งยืนด้วยวิถีไทยตามหลักพระพุทธศาสนา และน้อมนำแนวพระราชดำริเศรษฐกิจพอเพียง มาใช้ นับเป็นการพัฒนาคนให้มีคุณภาพและคุณธรรมซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดเรื่องหนึ่ง เพราะคนเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีค่าที่สุดของสังคม    
                เนื่องในวาระฉลองพุทธชยันตี ๒๖๐๐ ปี แห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ในปี พุทธศักราช ๒๕๕๕ นี้ การดำรงชีวิตด้วยคุณธรรม จึงเป็นเรื่องที่พึงปฏิบัติบำเพ็ญ เพื่อสักการะองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นสิริมงคลกับตนและสังคมไทย เมื่อสังคมมีคนดี ประเทศชาติก็ย่อมจะมีความมั่นคงสืบไป ดังคำกล่าวของพลเอกเปรม           ติณสูลานนท์ (เกษมศักดิ์  วิชิตเชื้อ อ้างถึงในสมาคมศิษย์เก่าโรงเรียนยานนาเวศวิทยาคม, ๒๕๔๖ : ๑๙) ที่ว่า
                “การพัฒนาคนให้เป็นผู้ที่พร้อมด้วยคุณภาพและคุณธรรม เป็นเรื่องที่มีความสำคัญเรื่องหนึ่ง เพราะคนหรือทรัพยากรมนุษย์เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการพัฒนาประเทศ ประเทศที่ร่ำรวยด้วยทรัพยากระรรมชาติ แต่ขาดแคลนทรัพยากรมนุษย์ที่มีคุณภาพและคุณธรรม หากไม่รักษาหรือนำทรัพยากรธรรมชาติมาใช้ให้เป็นประโยชน์ จะไม่สามารถพัฒนาประเทสให้มีความมั่นคงและเจริญก้าวหน้าได้”
                 
               
บรรณานุกรม

เกษมศักดิ์  วิชิตเชื้อ.  คุณธรรม สร้างคน สร้างชาติ  เรียงความชนะการประกวดจัดโดยสมาคมศิษย์เก่า
                โรงเรียนยานนาเวศวิทยาคม, ๒๕๔๖.
คณะทำงานโครงการพัฒนาการศึกษาของประชาชนในพื้นที่ภูเขียว จังหวัดชัยภูมิ.  กระแสพระราชดำรัสและพระราชเสาวนีย์             ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ.  ม.ป.ท. :  แก่นคำ ออฟเซ็ท การพิมพ์, ๒๕๓๖. 
เพ็ญศรี เลิศเกียรติวิทยา และสิฏฐากร ชูทรัพย์.หนังสือเรียนรายพื้นฐาน งานอาชีพ ๔-๖ . (พิมพ์ครั้งที่๑).
                กรุงเทพฯ เอมพันธ์ ,๒๕๕๓.
ราชบัณฑิตยสถาน.  พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒.  กรุงเทพฯ : นานมีบุ๊คส์
                พับลิเคชั่นส์, ๒๕๔๖.
สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ  เล่มที่ ๓๒.  กรุงเทพฯ  โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์
               ใน  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, ๒๕๔๘.
สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนฯ ฉบับเสริมการเรียนรู้  กรุงเทพฯ  โครงการสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน
                โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, ๒๕๔๘.
สุโขทัยธรรมาธิราช,มหาวิทยาลัย.  คู่มือการศึกษาชุดวิชาไทยศึกษา หน่วยที่ ๘ – ๑๕.  นนทบุรี : โรงพิมพ์
                มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช,  ๒๕๔๗.






ประวัติผู้จัดทำ


ชื่อ – นามสกุล    

Flood Way กับแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืน


Flood way กับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืน
ส่วนนำ
             “... การพัฒนาแหล่งน้ำนั้น ในหลักใหญ่ก็คือ การควบคุมน้ำให้ได้ ดังประสงค์ ทั้งปริมาณ และคุณภาพ กล่าวคือ เมื่อมีปริมาณน้ำมากเกินไป ก็ต้องหาทางระบายออกให้ทันการณ์ ไม่ปล่อยให้เกิดความเสียหายได้ และในขณะที่เกิดภาวะขาดแคลน ก็จะต้องมีนำกักเก็บไว้ใช้อย่างเพียงพอ ทั้งมีคุณภาพเหมาะสมแก่การเกษตร การอุตสาหกรรมและการอุปโภคบริโภค ปัญหามีอยู่ว่าการพัฒนาแหล่งน้ำ อาจมีผลกระทบกระเทือนต่อสิ่งแวดล้อมบ้าง แต่ถ้าไม่มีการควบคุมน้ำที่ดีพอแล้ว เมื่อเกิดภัยธรรมชาติเกิดขึ้น ก็จะก่อให้เกิดความเดือดร้อน สูญเสีย ทั้งในด้านเศรษฐกิจและในชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ทั้งส่งผลเสียหายแก่สิ่งแวดล้อมอย่างร้ายแรง…”
                                                                       (พระราชดำรัสเรื่องการจัดการน้ำ http:/kingandwater2.htm )
                จากแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯข้างต้น แสดงให้เห็นถึงความห่วงใยของพระองค์ที่มีต่อประชาชนชาวไทย ในด้านการจัดการทรัพยากรน้ำที่เป็นปัญหาหลักของคนไทยมาช้านาน ซึ่งพระองค์ได้ทรงคิดค้นหาแนวทางการบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อชาวไทย ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาความแห้งแล้ง หรือปัญหาน้ำท่วม พระองค์ได้ใช้เวลาหลายสิบปีในการคิดค้นและดำเนินโครงการต่างๆจนเป็นที่สัมฤทธิ์ผล สร้างความอุดมสมบูรณ์ให้ประเทศไทยอย่างมากไม่ว่าจะเป็นโครงการสร้างฝายชะลอน้ำ โครงการฝนเทียม โครงการแก้มลิง โครงการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่เพื่อกักเก็บน้ำ ตลอดจนแนวพระราชดำริเรื่องการสร้างและพัฒนาทางเดินของน้ำ หรือ Flood Way สำหรับป้องกันปัญหาน้ำท่วม ซึ่งเป็นโครงการในพระราชดำริที่ได้พระราชทานไว้เมื่อ ปีพุทธศักราช ๒๕๓๘
                ปัจจุบันได้มีการกล่าวถึงเป็นอย่างมากในเรื่องของ Flood Way  หรือ ทางเดินน้ำ หลังจากการเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ ใน ปีพุทธศักราช ๒๕๕๔ ว่าเป็นแนวทางการป้องกันน้ำท่วมที่มีประสิทธิภาพและสามารถช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้อีกวิธีการหนึ่ง ซึ่งเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในครั้งนั้นเกิดจากระบบการบริหารจัดการน้ำและการระบายน้ำไม่สามารถดำเนินได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้น้ำเหนือเข้าท่วมในพื้นที่ภาคกลางรวมทั้งพื้นที่บางส่วนของกรุงเทพมหานคร ได้สร้างความเสียหายอย่างมากต่อประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น ด้านเศรษฐกิจภาคอุตสาหกรรม ภาคการเกษตร ภาคการท่องเที่ยว  ความเชื่อมั่นในการลงทุนของนักลงทุน ด้านสังคม นอกจากนี้ ยังได้สร้างความเสียหายให้กับชีวิตและทรัพย์สินประชาชนชาวไทยที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมเป็นอย่างมาก อาจกล่าวได้ว่า “แทบสิ้นเนื้อประดาตัว”
                ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการให้ความสำคัญกับการแก้ไขระบบการจัดการทรัพยากรน้ำให้มีประสิทธิภาพและการเตรียมการป้องกันปัญหาน้ำท่วมเป็นส่วนสำคัญมากที่จะป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาน้ำท่วมใหญ่เหมือนหลายๆครั้งในอดีตที่ผ่านมา
                ในการศึกษาเรื่อง Flood way กับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมมีจุดประสงค์สำคัญ ดังนี้
๑.เพื่อศึกษาสาเหตุของการเกิดปัญหาน้ำท่วม
              .เพื่อศึกษาแนวทางการแก้ปัญหาน้ำท่วมโดยใช้วิธีการสร้างแนว Flood way
.เพื่อศึกษาวิธีการต่างๆที่สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมได้
ส่วนเนื้อเรื่อง
ความสำคัญของปัญหาน้ำท่วม
อุทกภัยในปี ๒๕๕๔ ที่ผ่านมานั้นถือเป็นมหาอุทกภัยที่เลวร้ายที่สุดในรอบ ๕๐ ปี ที่สร้างความเสียหายแก่ประเทศไทยเป็นอย่างมาก เป็นวิกฤตการณ์ที่ทำให้ประชาชนนับ ๑๐ ล้านคน กลายเป็นผู้ประสพภัย ทำให้มีผู้เสียชีวิต ๘๑๖ คน  ทำให้พื้นที่การเกษตรได้รับความเสียหายประมาณ ๑๓ ล้านไร่ ทำให้เกิดความเสียหายในด้านทรัพย์สินราว ๒๐๐, ๐๐๐ ล้านบาท
                ขณะเดียวกันมหาอุทกภัยในครั้งนี้ ทำให้กรุงเทพฯกลายเป็นเมืองหลวงที่เสี่ยงต่อภัยน้ำท่วมสูงเป็นอันดับ ๗ ของโลก ทั้งนี้โดยการประเมินขององค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา(Organization for Economic Co-Operation and Development: OECD) เมื่อปีที่แล้ว
                ซึ่งสาเหตุหลักของการเกิดน้ำท่วมในปีที่ผ่านมานั้น นักวิชาการหลายสำนักชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ที่ส่งผลให้เกิดฝนตกผิดฤดูกาลมากกว่าปกติอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายเดือนในภาคเหนือตอนบนและกลุ่มจังหวัดทางลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนบน ตั้งแต่เดือนมิถุนายนถึงเดือนตุลาคม ๒๕๕๔ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยประมาณ ๓๙% ในภาคเหนือ และ ๒๒% ในพื้นที่ภาคกลาง โดยได้รับอิทธิพลของพายุโซนร้อน๕ ลูก คือ พายุโซนร้อนไหหม่า นกเตน ไหถาง เนสาด นาลแก ทำให้ปริมาณน้ำไหลต่อเนื่องมารวมกันที่จังหวัดนครสวรรค์ และไหลบ่ามาท่วมพื้นที่ภาคกลางตอนล่าง กรุงเทพฯและปริมณฑลในที่สุด
                นอกจากนี้ยังมีสาเหตุต่างๆอีกหลายประการที่ทำเกิดน้ำท่วมในปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาด การรุกล้ำเข้าไปสร้างชุมชนในเขตทางน้ำไหลผ่าน รวมทั้งขาดการบำรุงรักษาคูคลอง คลองส่งน้ำ คันกั้นน้ำ ประตูระบายน้ำ และเครื่องสูบน้ำให้พร้อมกับการใช้งานจากเหตุการณ์เหล่านี้ สามารถแก้ไขหรือปรับปรุงข้อผิดพลาดในปีที่ผ่านมาได้ โดยวิธีการต่างๆดังนี้
                .ระบบการจัดการน้ำของเขื่อนต่างๆที่จะต้องมีการวางแผนบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบ มีข้อมูลด้านปริมาณน้ำที่เป็นปัจจุบัน การจัดการบริหารปริมาณน้ำ ไม่ว่าจะเป็นการกักเก็บน้ำ หรือการระบายน้ำต้องมีความเหมาะสมกับสถานการณ์
                ๒.ต้องมีการขุดลอกคลองระบายน้ำ กำจัดวัชพืชที่ขวางทางน้ำ โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการระบายน้ำ
                ๓.ต้องมีพื้นที่สำหรับทำแก้มลิงตามแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะช่วยแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้
                ๔.การสร้างคันกั้นน้ำ ตามแม่น้ำสายหลักๆหรือบริเวณที่มีน้ำท่วมซ้ำๆในทุกปี
                ๕.การสร้างแนวฟลัดเวย์ (Flood Way) หรือ ทางน้ำไหลผ่าน ซึ่งจะช่วยในการระบายน้ำได้อย่าง รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ สามารถแก้ไขปัญหาน้ำท่วมได้โดยเฉพาะในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล
แนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมโดยวิธีการต่างๆ
1. เขื่อนกักเก็บน้ำ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานพระราชดำริ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แก้ไขปัญหาน้ำท่วมพื้นที่เกษตรกรรม และชุมชนต่างๆ ด้วยการก่อสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำ หลายพื้นที่ด้วยกัน เช่น เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ จังหวัดลพบุรี และเขื่อนคลองท่าด่าน จังหวัดนครนายก ซึ่งทำหน้าที่เก็บกักน้ำไว้นี้จะระบายน้ำออกจากแหล่งกักเก็บน้ำทีละน้อยๆ เพื่อนำ มาใช้ประโยชน์ได้อีกหลายด้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อการเพาะปลูกในช่วงเวลาฝนไม่ตก หรือช่วงฤดูแล้ง ครั้นเมื่อเข้าสู่ฤดูฝนปีต่อไป เขื่อนก็จะมีปริมาณพื้นที่รองรับน้ำจำนวนมาก เข้ามาเก็บไว้ ซึ่งสามารถป้องกันและบรรเทาปัญหาน้ำท่วมในพื้นที่ตอนล่างรวมถึง กรุงเทพมหานคร
2 .ทางผันน้ำ
การก่อสร้างทางผันน้ำหรือขุดคลองสายใหม่เชื่อมต่อกับแม่น้ำที่มีปัญหาน้ำท่วมมีหลักการอยู่ว่า จะผันน้ำในส่วนที่ไหลล้นออกไปจากลำน้ำ โดยตรง ปล่อยน้ำส่วนใหญ่ที่มีระดับไม่ล้นตลิ่งให้ไหลอยู่ในลำน้ำเดิมตามปกติ วิธีการนี้จะต้องสร้างอาคารเพื่อควบคุมและบังคับน้ำบริเวณ ปากทางให้เชื่อมกับลำน้ำสายใหญ่ และกรณีต้องการผันน้ำทั้งหมดไหลไปตามทางน้ำที่ขุดใหม่ ควรขุดลำน้ำสายใหม่แยกออกจากลำน้ำสาย เดิมตรงบริเวณที่ลำน้ำเป็นแนวโค้งและระดับน้ำของคลองขุดใหม่จะต้องเสมอกับท้องลำน้ำเดิมเป็นอย่างน้อย หลังจากนั้นก็ปิดลำน้ำสายเดิม
ตัวอย่างเช่น การผันน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาโดยทางตะวันตก ผันเข้าแม่น้ำท่าจีน แล้วผันลงสู่บริเวณจังหวัดสุพรรณบุรี ก่อนระบายออกสู่ ทะเล ส่วนด้านตะวันออกผันน้ำเข้าคลองระพีพัฒน์เข้าสู่คลอง 13 จากนั้นระบายออกคลอง 14 โดยน้ำส่วนหนึ่งผันไปลงแม่น้ำบางปะกง อีกส่วนหนึ่งลงคลองพระองค์เจ้าไชยานุชิตผ่านลงสู่คลองชายทะเล หรือการผันน้ำออกสู่ทะเลโดยคลองสนามบิน คลองโคกเกลือ คลองบางเกวียนหัก คลองเนิน และคลองทะเลน้อย ซึ่งสามารถป้องกันไม่ให้น้ำท่วมตัวอำเภอหัวหิน จากเหตุการณ์น้ำท่วมในพื้นที่ประจวนคีรีขันธ์ เมื่อปี 2546
3. ปรับปรุงสภาพลำน้ำ
โดยการขุดลอกลำน้ำในบริเวณที่ตื้นเขิน ตกแต่งติดตามตลิ่งที่ถูกกัดเซาะ กำจัดวัชพืชหรือทำลายสิ่งกีดขวาง ทางน้ำไหลออกไปจนหมด และกรณีลำน้ำมีแนวโค้งมากเป็นระยะไกล อาจพิจารณาขุดคลองลัดเชื่อมบริเวณ ด้านเหนือค้างกับด้านท้ายโค้ง ซึ่งจะทำให้น้ำไหลผ่านได้เร็วขึ้นตัวอย่างเช่น โครงการขุดคลองลัดโพธิ์ จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งทำให้ร่นระยะทางน้ำได้ถึง 17 กิโลเมตร ทำให้ระบายน้ำลงทะเลได้เร็วขึ้น
4. คันกั้นน้ำ
เป็นวิธีป้องกันน้ำมิให้ไหลลงตลิ่งเข้าไปท่วมพื้นที่ให้ได้รับความเสียหายด้วยการเสริมขอบตลิ่งของลำน้ำให้มีระดับสูงมากขึ้นกว่าเดิม เช่น การทำคันดินป้องกันน้ำท่วมบริเวณต่างๆ ในโครงการป้องกันน้ำท่วมกรุงเทพฯ และปริมณฑลซึ่งสามารถป้องกันน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาและน้ำตามคลองไม่ให้ไหลบ่า เข้ามาท่วมกรุงเทพฯ ชั้นในและพื้นที่เศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี
5. การระบายน้ำออกจากพื้นที่ลุ่ม
ทรงให้ขุดคลองระบายน้ำภายในบริเวณพื้นที่ลุ่มให้สามารถระบายน้ำออกจากพื้นที่ลุ่มหรือพื้นที่ที่มีน้ำท่วมขังอยู่เป็นประจำ เพื่อแก้ไขปัญหาอุทกภัยและให้สามารถเพาะปลูกได้ และก่อสร้างประตูระบายน้ำ ทำหน้าที่ควบคุมการเก็บกักน้ำในคลองและป้องกันน้ำท่วมจากบริเวณด้านนอกไม่ให้ไหลย้อนเข้าไปในพื้นที่
ตัวอย่างเช่น โครงการแก้มลิงเป็นโครงการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราชาอธิบายเกี่ยวกับระบบการบริหารจัดการน้ำท่วม ที่เกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอในเขตกรุงเทพและปริมณฑล
6. การหาความสัมพันธ์ของระดับน้ำและปริมาณน้ำปากแม่น้ำเจ้าพระยา (Hydrodynamic Flow Measurement) คือ การศึกษาหาความสันพันธ์ของน้ำทะเลหนุน และปริมาณน้ำเหนือ หลาก ผ่านเขตกรุงเทพมหานคร แล้วนำผลการวิเคราะห์ไปใช้สำหรับการบริหารจัดการปริมาณน้ำเหนือที่ไหลผ่านเขื่อนเจ้าพระยาและเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์การแก้ไขปัญหาน้ำท่วม
                                                                     (การบริหารจัดการน้ำ: http:// kingandwater2.htm)
การแก้ไขปัญหาน้ำท่วมพื้นที่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลตามพระราชดำริ "แก้มลิง"
จากสภาพธรรมชาติดั้งเดิมของกรุงเทพมหานคร มีลักษณะลุ่มต่ำ ทำให้มีการระบายน้ำยามเกิดภาวะน้ำท่วมให้ออกจากพื้นที่เป็นไปอย่างล่าช้า คูคลองจำนวนมากมีความลาดเทน้อย อีกทั้งมีหลายคลองที่ลำน้ำตื้นเขิน มีวัชพืชปกคลุมกีดขวางทางน้ำไหล ทำให้เกิดเป็นสาเหตุในหลายปัจจัยของการเกิดน้ำท่วมขังในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลเป็นระยะเวลายาวนาน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานแนวพระราชดำริให้มีระบบการบริหารจัดการด้านน้ำท่วม "แก้มลิง" ซึ่งได้พระราชทานพระราชอรรถาธิบายว่า "...ลิงโดยทั่วไปถ้าเราส่งกล้วยให้ ลิงจะรีบปอกแล้วเอาเข้าปากเคี้ยว แล้วเอาไปเก็บไว้ที่แก้ม ลิงจะเอากล้วยเข้าไปไว้ที่กระพุ้งแก้มได้เกือบทั้งหวี โดยเอาไปไว้ที่แก้มก่อนแล้วจึงนำมาเคี้ยวบริโภคและกลืนกินเข้าไปภายหลัง" เปรียบเทียบได้กับเมื่อเกิดน้ำท่วมก็ขุดคลองต่างๆ เพื่อชักน้ำให้มารวมกันแล้วนำไปเก็บไว้เป็นบ่อพักน้ำ อันเปรียบได้กับแก้มลิง แล้วจึงระบายน้ำลงทะเลเมื่อปริมาณน้ำทะเลลดลง
สำหรับลักษณะและวิธีการของโครงการแก้มลิง แบ่งออกได้เป็น 4 ประการ
1.ดำเนินการระบายน้ำออกจากพื้นที่ตอนบนให้ไหลไปตามคลองในแนวเหนือ-ใต้ลงคลอง พักน้ำขนาดใหญ่ที่บริเวณชายทะเล เช่น คลองชายทะเลของฝั่งตะวันออก ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นบ่อเก็บน้ำขนาดใหญ่ คือ "แก้มลิง" ต่อไป
2.เมื่อระดับน้ำทะเลลดต่ำลงกว่าระดับน้ำในคลอง ก็ทำการระบายน้ำจากคลองดังกล่าวออกทางประตูระบายน้ำ โดยใช้หลักการทฤษฎีแรงโน้มถ่วงของโลก (Gravity Flow) ตามธรรมชาติ
3.สูบน้ำออกจากคลองที่ทำหน้าที่ แก้มลิง นี้ ให้ระบายออกในระดับต่ำที่สุดออกสู่ทะเล เพื่อจะได้ทำให้น้ำตอนบนค่อยๆ ไหลมาเองตลอดเวลาส่งผลให้ปริมาณน้ำท่วมพื้นที่ลดน้อยลง
4.เมื่อระดับน้ำทะเลสูงกว่าระดับน้ำในลำคลองให้ทำการปิดประตูระบายน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำย้อนกลับ โดยยึดหลักน้ำไหลทางเดียว (One Way Flow)
ทั้งนี้ หลักการ 3 ข้อที่โครงการแก้มลิงจะสามารถมีประสิทธิภาพบรรลุผลสำเร็จตามแนวพระราชดำริ คือ
1.การพิจารณาสถานที่ที่จะทำหน้าที่เป็นบ่อพักและวิธีการชักน้ำท่วมไหลเข้าสู่บ่อพักน้ำ
2.เส้นทางน้ำไหลที่สะดวกต่อการระบายน้ำเข้าสู่แหล่งที่ทำหน้าที่บ่อพักน้ำ
3.การระบายน้ำออกจากบ่อพักน้ำอย่างต่อเนื่องลุ่มน้ำปากพนัง ลุ่มน้ำป่าสัก        
จากหลักการข้างต้น การสนองพระราชดำริจึงดำเนินการพิจารณาจากการใช้ลำคลองหนองบึงธรรมชาติ หรือพื้นที่ว่างเปล่า นำมาใช้เป็นบ่อพักน้ำ แหล่งน้ำที่จะนำน้ำเข้าบ่อพักและระบายน้ำออกจากบ่อพักน้ำตามความเหมาะสมของแต่ละพื้นที่ ซึ่งผลการดำเนินการศึกษาและพิจารณากำหนดรูปแบบของโครงการแล้วสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ส่วน คือ โครงการแก้มลิงฝั่งตะวันออกและตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ทำหน้าที่รับน้ำในพื้นที่ฝั่งตะวันออก-ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา นอกจากสภาพพื้นที่ทั่วไปแถบนั้นยังไม่มีคันกั้นน้ำริมฝั่งเจ้าพระยา และคันกั้นน้ำขนานกับชายทะเลแล้ว คลองต่างๆ ที่มีทางน้ำไหลเชื่อมต่อกับชายทะเลแล้ว คลองต่างๆ ที่มีทางน้ำไหลเชื่อมต่อกับชายทะเลก็ยังไม่มีการควบคุมเพียงพอ ดังนั้น เมื่อน้ำทะเลมีระดับสูงขึ้นจึงหมุนไม่ให้น้ำจืดไหลออกจากทะเลหรือไหลออกทะเลได้ช้ามากก่อให้เกิดภาวะน้ำท่วมรุนแรงหรือท่วมขังนานวัน
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานพระราชดำริเพื่อให้การระบายน้ำท่วมออกทะเลเร็วขึ้นด้วยวิธีต่างๆ คือ
โครงการแก้มลิง แม่น้ำท่าจีนตอนล่าง ซึ่งใช้หลักในการควบคุมน้ำในแม่น้ำท่าจีน คือ เปิดระบายน้ำจำนวนมากลงสู่อ่าวไทยเมื่อระดับน้ำทะเลต่ำ ปิดกั้นไม่ให้น้ำจากด้านท้ายน้ำไหลรุกล้ำเข้าไปในแม่น้ำเมื่อน้ำทะเลมีระดับสูง ถือเป็นโครงการอเนกประสงค์ที่สำคัญยิ่งในอนาคตด้วย นอกจากช่วยบรรเทาอุทกภัยให้กับพื้นที่บางส่วนทางตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา ตั้งแต่ตอนใต้ทางรถไฟสายใต้มาแล้ว ยังจะช่วยป้องกันการรุกล้ำของน้ำเค็มเข้าไปในแม่น้ำท่าจีนช่วงฤดูแล้ง ระหว่างเดือนมกราคม-พฤษภาคม นอกจากนั้นยังสามารถนำน้ำไปใช้ประโยชน์ในด้านการเกษตร อุตสาหกรรม และอุปโภคบริโภคได้อีกด้วย
โครงการแก้มลิงนับเป็นสิ่งที่ช่วยทำให้ชาวไทยทั้งหลายได้รอดพ้นจากทุกข์ภัย ที่นำความเดือดร้อนแสนสาหัสมาสู่ชีวิตที่อบอุ่นปลอดภัย ซึ่งแนวพระราชดำริ อันเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับการบริหารจัดการแก้ปัญหาน้ำท่วมนี้ ทรงมีพระราชดำรัสเพิ่มเติมว่า "...ได้ดำเนินการในแนวทางที่ถูกต้องแล้ว ขอให้รีบเร่งหาวิธีปรับปรุงและเพิ่มประสิทธิภาพต่อไปเพราะโครงการแก้มลิงในอนาคตจะสามารถช่วยพื้นที่ได้หลายพื้นที่"
จะเห็นได้ว่าการบริหารจัดการน้ำตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ดำเนินตามธรรมชาติ นั้นสามารถแก้ปัญหาเรื่องน้ำท่วมในหลายพื้นที่ให้หมดสิ้นไปได้ในอนาคต
                     (การแก้ไขปัญหาน้ำท่วม : สถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำและการเกษตร (องค์การมหาชน)
ความสำคัญของการสร้างFlood Way
แนวการสร้าง Flood way
             แนว Flood way จะเริ่มตั้งแต่รอยต่อระหว่าง อ.ป่าโมก จ.อ่างทอง กับ อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา ขนานไปตามทางทิศตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยาไปถึงปากคลองพระยาบันลือ อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา จากนั้นได้ขนานไปกับคลองพระยาบันลือ ถึง อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี ครอบคลุมพื้นที่ 6 อำเภอในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้แก่ อ.ผักไห่ อ.บางบาล อ.บางซ้าย อ.เสนา อ.บางไทร และ อ.ลาดบัวหลวง รวมทั้งพื้นที่บางส่วนใน อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี        
             จากนั้นแนว flood way จะขนานไปกับแม่น้ำท่าจีนฝั่งตะวันตกทั้งหมด ครอบคลุมพื้นที่ อ.บางเลน อ.นครชัยศรี อ.สามพราน จ.นครปฐม, อ.กระทุ่มแบน และ อ.บ้านแพ้ว จ.สมุทรสาครสิ้นสุดที่ปากคลองดำเนินสะดวกใน ต.บางยาง อ.กระทุ่มแบน จ.สมุทรสาคร จากนั้นขนานไปตามคลองดำเนินสะดวก ถึงประตูน้ำบางนกแขวก อ.บางคนที จ.สมุทรสงคราม ส่วนอีกด้านหนึ่งจะขนานไปกับแม่น้ำแม่กลองฝั่งตะวันออก ตั้งแต่ อ.บ้านโป่ง จ.ราชบุรี ถึงประตูน้ำบางนกแขวก โดยพบว่าครอบคลุมพื้นที่ อ.เมืองนครปฐม อ.กำแพงแสนอ.นครชัยศรี อ.ดอนตูม อ.บางเลน อ.สามพราน จ.นครปฐม อ.บ้านโป่ง             อ.โพธาราม อ.บางแพ อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี อ.บ้านแพ้ว และพื้นที่บางส่วนใน อ.กระทุ่มแบน          จ.สมุทรสาคร   ส่วนแนว Flood wayด้านตะวันออก จะอยู่ในรัศมีตั้งแต่แม่น้ำป่าสัก ขนานไปกับคลองระพิพัฒน์ ต่อเนื่องไปยังคลองสิบสามถึงเขตหนองจอก กรุงเทพมหานคร จากนั้นเบี่ยงไปยังคลองแสนแสบ คลองพระองค์เจ้าไชยานุชิต ไหลลงสู่อ่าวไทยที่คลองด่าน ครอบคลุมพื้นที่ตามแนวคลองดังกล่าวด้านทิศตะวันออก ไล่ตั้งแต่ อ.ท่าเรือ อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา, อ.เสาไห้ อ.หนองแซง อ.หนองแค จ.สระบุรี, อ.หนองเสือ จ.ปทุมธานี, อ.องครักษ์ จ.นครนายก, อ.บางน้ำเปรี้ยว จ.ฉะเชิงเทรา บางส่วนของเขตหนองจอกกรุงเทพมหานคร บริเวณฝั่งตะวันออกของคลองสิบสาม และ อ.บางบ่อ จ.สมุทรปราการ
                                  (ข้อมูลบางส่วนจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ ฉบับวันที่ 21กุมภาพันธ์ 2555)
ผลกระทบจากการสร้างแนว Flood Way กับที่มีต่อชุมชนรอบข้าง
                การดำเนินโครงการเพื่อสร้างแนว Flood Way นั้นอาจมีผลกระทบต่อชุมชนที่อาศัยอยู่บริเวณโดยรอบริมน้ำหรือคลองสายต่างๆ เพราะชุมชนเหล่านี้ได้รุกล้ำเข้าไปสร้างชุมชนขวางทางระบายน้ำเก่า ซึ่งเป็นพื้นที่เดิมสำหรับการระบายน้ำ ทำให้มีพื้นที่ในการไหลของน้ำน้อยลงและระบายน้ำไม่ทันจนทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมเข้าสู้ชมชุนเมืองต่างๆ
                ในการสร้างแนว Flood Way นั้นจำเป็นต้องย้ายชุมชนต่างๆที่ตั้งขวางทางน้ำ ออกจากบริเวณดังกล่าว ทำให้ชาวบ้านในชุมชนได้รับผลกระทบ ต้องสูญเสียพื้นที่ที่อยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม ปัญหาเหล่านี้หน่วยงานภาครัฐมีหน้าที่ๆจะต้องช่วยบรรเทาทุกข์ เพื่อให้เกิดผลกระทบต่อชาวบ้านให้น้อยที่สุด
ประสิทธิภาพในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของแนว Flood Way
                แนว Flood Way มีประสิทธิภาพในการระบายน้ำได้เฉพาะบางพื้นที่ และไม่สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมให้กับเมืองที่อยู่บนพื้นที่ลุ่มตอนบนได้ เพราะต้องผ่านพื้นที่ๆมีความต่างระดับไม่เท่ากัน เช่น ภูเขาหรือเนินเขา ซึ่งยากต่อการระบายน้ำ นอกจากนี้ยังมีประเด็นต่างๆอีกหลายประการที่มีผลต่อประสิทธิภาพในการป้องกันน้ำท่วมของแนว Flood Way เช่น สภาพความพร้อมของพื้นที่รองรับน้ำและคลองระบายน้ำ การบริหารจัดการน้ำของหน่วยงานรัฐ ปริมาณน้ำในแต่ละปี เป็นต้น
ความสามารถของแนว Flood Way ในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในกรุงเทพมหานคร
                แนว Flood Way สามารถแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในเขตกรุงเทพมหานคร เพราะปริมาณน้ำที่ไหลจากภาคเหนือและภาคกลางตอนบนจะเข้าสู่ระบบการการจัดการน้ำของแนว Flood Way  ก่อนเข้าสู่กรุงเทพมหานคร โดยมวลน้ำดังกล่าวจะถูกผลัดดันเข้าสู่แนวคลองระบายน้ำและแม่น้ำสายต่างๆหรือพื้นที่รับน้ำ จากนั้นจึงระบายออกเป็น  ๒ ทางหลัก โดยในส่วนของกรุงเทพฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานครนั้นมวลน้ำจะถูกผลัดดันให้เข้าสู่ระบบคลองระบายน้ำในคลองสายต่างๆรวมทั้งแม่น้ำบางปะกงและลงสู่อ่าวไทย ส่วนทางด้านฝั่งตะวันตกของกรุงเทพมหานครนั้น น้ำจะถูกผันเข้าคลองสายต่างๆรวมทั้งแม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำแม่กลอง เพื่อเข้าสู่ระบบระบายน้ำ การบริหารจัดการน้ำโดยใช้แนว Flood Way จะเป็นการช่วยบริหารจัดการน้ำให้กับแม่น้ำเจ้าพระยาที่ไหหลผ่านใจกลางกรุงเทพมหานคร ทำให้น้ำไม่สามารถล้นตลิ่งออกมาท่วมกรุงเทพมหานครได้


Flood Wayแนวทางแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืน
                ในการนำแนวคิด Flood Way ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯมาใช้ในการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมในเขตกรุงเทพมหานคร จะเกิดความยั้งยืนก็ต่อเมื่อ เกิดการบริหารน้ำอย่างเป็นระบบ คือ
.การพยากรณ์หรือการคาดการณ์ปริมาณน้ำในแต่ละปี โดยเฉพาะในฤดูฝนนั้นต้องเป็นไปอย่างแม่นยำและเป็นปัจจุบันที่สุด
.มีการบำรุงรักษาคูคลองและแม่น้ำสายต่างๆในแนว Flood Way อย่างสม่ำเสมอ เช่น ขุดลอกคูคลองที่ตื้นเขิน และมีการกกำจัดพืชผักหรือสิ่งปฏิกูลที่ขวางทางน้ำไหลผ่าน
ส่วนสรุป
จากกาศึกษาค้นคว้าทำให้ผู้ศึกษาได้รู้ว่า Flood way คือทางน้ำผ่านหรือทางน้ำไหลผ่าน เป็นแนวทางหรือวิธีการแก้ปัญหาน้ำท่วมอีกวิธีการหนึ่งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯได้ทรงพระราชทานแก่ชาวไทยในปี พ.ศ.๒๕๓๘ ซึ่งเป็นปีที่เกิดปัญหาน้ำท่วมใหญ่เช่นกัน โดยทรงเห็นว่าประเทศไทยในขณะนั้นขาดพื้นที่เฉพาะสำหรับเป็นทางน้ำไหลผ่านและสำหรับการระบายน้ำ ทำให้เป็นสาเหตุหลักของการเกิดปัญหาน้ำท่วมซ้ำซากในเขตภาคกลางและปริมณฑล โดยเฉพาะกรุงเทพมหานคร รวมทั้งระบบระบายน้ำที่มีอยู่แล้ว แต่ขาดประสิทธิภาพในการทำงาน
                แนว Flood Way เพื่อแก้ปัญหาน้ำนั้นมีแนววิธีการดำเนินการ คือการผลัดดันเข้าสู่แนวคลองระบายน้ำและแม่น้ำสายต่างๆตามโครงการ Flood Way จากนั้นจึงระบายออกเป็น ๒ ทางหลัก โดยในส่วนของกรุงเทพฝั่งตะวันออกของกรุงเทพมหานครนั้นมวลน้ำจะถูกผลัดดันให้เข้าสู่ระบบคลองระบายน้ำในคลองสายต่างๆรวมทั้งแม่น้ำบางปะกงและลงสู่อ่าวไทย ส่วนทางด้านฝั่งตะวันตกของกรุงเทพมหานครนั้น น้ำจะถูกผันเข้าคลองสายต่างๆรวมทั้งแม่น้ำท่าจีนและแม่น้ำแม่กลอง จากนั้นผันน้ำลงสู่ทะเลต่อไป
                อย่างไรก็ตาม ประสิทธิภาพในการระบายน้ำของแนว Flood Way นั้น สามารถทำได้เฉพาะบางพื้นที่ และไม่สามารถแก้ปัญหาน้ำท่วมให้กับเมืองที่อยู่บนพื้นที่ลุ่มตอนบนได้ เพราะมีปัจจัยต่างๆ เช่น ภูเขาหรือเนินเขา ซึ่งยากต่อการระบายน้ำ สภาพความพร้อมของพื้นที่รองรับน้ำและคลองระบายน้ำ การบริหารจัดการน้ำของหน่วยงานรัฐ ปริมาณน้ำในแต่ละปี เป็นต้น
                จึงเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนในการช่วยกันเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับปัญหาน้ำท่วมในแต่ละปี โดยการดูแลรักษาคูคลอง คันกั้นน้ำ หรือแม่น้ำสายต่างๆให้มีความพร้อมต่อการรองรับปริมาณน้ำ พัฒนาระบบการบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพ มีหน่วยงานรับผิดชอบที่แน่นอน เพื่อลดความสูญเสียในชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดจนเป็นการสร้างความมั่นใจและเป็นหลักประกันว่าจะไม่เกิดปัญหาน้ำท่วมที่รุนแรงดังเช่นในอดีตที่ผ่านมาอีกต่อไป
                การศึกษาเรื่อง Flood Wayกับแนวทางการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมอย่างยั่งยืนนี้ เป็นความต้องการของผู้จัดทำที่อยากรวบรมข้อมูลนำเสนอความรู้ความเข้าใจเกี่ยว Flood Way และการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมโดยวิธีการอื่นๆ โดยการใช้แผ่นพับเป็นเครื่องมือในการนำเสนอความรู้ ให้บุคคลทั่วไปที่สนใจในเรื่องของการแก้ไขปัญหาน้ำท่วม และผลงานนี้จะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ได้อ่านได้ศึกษาอย่างมาก

















เอกสารอ้างอิง
จิราพร คำภาพันธุ์ วิธีแก้ปัญหาน้ำท่วมเส้นทางสีเขียว  (๒๕๕๕)๓๗-๓๘.
สุพร ตรีนรินทร์.  น้ำพระทัย “สู้ภัย”น้ำท่วมวารสารอันเนื่องมาจากพระราชดำริ  (๒๕๕๓):  ๒๖-๓๑
แม้นวาด กุญชร ณ อยุธยาเมืองน้ำวิถีแปรเปลี่ยนเส้นทางสีเขียว  (๒๕๕๕)๒๔-๒๖
คมชัดลึกออนไลน์ http://www.komchadluek.net/detail- Seb-10-2555
สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย  (สกว.) .http://pr.trf.or.th- Seb-10-2555